เลือดกำเดาไหลนั้นเป็นภาวะที่พบได้และเกิดขึ้นได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ทั้งในเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เลือดกำเดาไหลมักสร้างความตกใจ วิตกกังวลให้ตัวผู้ป่วยเองและคนใกล้ชิดได้ ภาวะเลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ในเด็กและผู้ที่อายุน้อยมักออกจากส่วนหน้าของจมูก ถ้าออกจากส่วนหลังจมูกมักพบในผู้สูงอายุ สาเหตุของเลือดกำเดาไหลมี 2 กลุ่มใหญ่คือ
กลุ่มแรก มาจากเฉพาะบริเวณจมูก ได้แก่ การบาดเจ็บต่อจมูก เป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหลที่พบบ่อย เกิดจากการถู แคะ สั่งน้ำมูกแรง ๆ ได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะและกระดูกใบหน้า การเปลี่ยนแปลงความกดดันอากาศอย่างรวดเร็ว เช่น การขึ้นเครื่องบิน การอักเสบในช่องจมูกจากการเป็นหวัด โรคภูมิแพ้ เนื้องอกบริเวณจมูก ไซนัสและโพรงหลังจมูก ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีเลือดกำเดาไหลปริมาณมากหรือเป็นซ้ำ ๆ นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากการผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก รวมทั้งภาวะอากาศเย็น ความชื้นต่ำทำให้เยื่อบุจมูกแห้งจึงมีเลือดไหลออกจากจมูกได้ง่าย
กลุ่มที่สอง เกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวานซึ่งจะพบมีน้ำตาลในเลือดสูง และโรคความดันโลหิตสูงจะมีผลทำให้เส้นเลือดเปราะและแตกง่าย โรคไต เช่น ไตวายเรื้อรังจะทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติไป ผู้ป่วยที่กินยาบางประเภท เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด ยาแอสไพริน ยาละลายลิ่มเลือด ยาเหล่านี้จะทำให้เลือดไหลง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบในภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น โรคตับแข็ง โรคเลือดต่าง ๆ
การดูแล ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นประมาณ 5 - 10 นาทีโดยหายใจทางปากแทน นอนพัก ยกศีรษะสูง นำน้ำแข็งมาประคบบริเวณหน้าผากหรือดั้งจมูกประมาณ 10 นาที ถ้าเลือดไม่หยุดควรไปพบแพทย์ หลังเลือดกำเดาหยุดไหลภายใน 1 - 2 วันควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณจมูก การยกของหนัก การเล่นกีฬาที่หักโหมหรือกลางแดดเพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้อีก สำหรับผู้ป่วยที่กินยาควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน ยาละลายลิ่มเลือด เพราะยาเหล่านี้จะทำให้เลือดไหลง่ายกว่าปกติ ควรกินอาหารที่มีวิตามินเคสูงซึ่งพบในผักใบเขียวทุกชนิด ผักกาดขาว แครอท น้ำมันตับปลา ตับ เนยแข็ง ไข่ขาว ถั่วหมัก และกินผัก ผลไม้สดที่มีวิตามีนซีซึ่งจะช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น