1.สถานการณ์โรค :
ทั่วโลก : เชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ ถูกแยกเชื้อได้เป็นครั้งแรกจาก ผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งในอำเภอเวสต์ไนล์ ประเทศยูกันดา ในปี พ.ศ. 2480 จากนั้นมีการแยกเชื้อได้จากนกในเขตไนล์เดลตา ในปี พ.ศ. 2496 โดยก่อนหน้าปี พ.ศ. 2540
เชื่อว่าเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ไม่ได้เป็นเชื้อก่อโรคในนก จนกระทั่งพบการระบาดอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในนกของประเทศอิสราเอล โดยนกมีอาการสมองอักเสบและพิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 จึงพบการระบาดครั้งใหญ่สู่คนในนิวยอร์ก
ของสหรัฐอเมริกา และแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาและในปีต่อมามีการระบาดในประเทศกรีซ อิสราเอล โรมาเนีย รัสเซีย โดยแพร่กระจายมาจากนกอพยพ ปัจจุบันโรคนี้พบทั้งในแคนาดา สาธารณรัฐเช็ก อียิปต์ ฝรั่งเศส อิตาลี อินเดีย อิสราเอล โรมาเนีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา โดยถือว่าโรคนี้พบกระจายอยู่ในแอฟริกา อเมริกาเหนือ ยุโรป และตะวันออกกลาง
ประเทศไทย : ไม่มีรายงานโรคนี้
2. ลักษณะโรค : ผู้ป่วยหลังได้รับเชื้อจะเกิดกลุ่มอาการได้ 3 แบบ คือ
(1) ไม่แสดงอาการ พบร้อยละ 80
(2) กลุ่มอาการไม่รุนแรง จะมีไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น มีเหงื่อออก มีผื่นที่ผิวหนัง อ่อนเพลีย ต่อมนํ้าเหลืองอักเสบ ซึม ปวดข้อ และมี อาการคล้ายไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นภายใน 7 - 10 วัน แต่จะยังคงมีอาการ อ่อนเพลียประมาณ 1 สัปดาห์ และมีอาการต่อมนํ้าเหลืองอักเสบอีก ประมาณ 2 เดือน
(3) กลุ่มอาการรุนแรง รายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการทาง สมองร่วมด้วย ได้แก่ สมองหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้สูง คอแข็ง ซึม ชัก และหมดสติ
3. เชื้อก่อโรค : สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ (West Nile virus; WNV) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในวงศ์ Flaviviridae สกุล Flavivirus และอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese encephalitis) โดยไวรัสกลุ่มนี้พบได้ทั่วไปในแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรป และมีความคล้ายคลึงกันมากกับไวรัส St. Louis encephalitis (SLE) ที่พบในสหรัฐอเมริกา
4. การเกิดโรค : เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเพิ่มจำนวน และกระจายไปบริเวณต่อมนํ้าเหลือง กระแสเลือด และเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นให้มีการเพิ่มระดับของปัจจัยที่ทำให้เกิดการตายของเนื้องอก (tumor necrosis factor)
เพิ่มความสามารถในการซึมผ่านเยื่อหุ้มสมอง เกิดการติดเชื้อโดยตรงที่เซลล์ประสาท โดยเฉพาะบริเวณนิวเคลียสเนื้อเยื่อประสาทและสมองส่วนที่มีสีเทา ก้านสมอง และกระดูกไขสันหลัง
5. แหล่งรังโรค : เชื้อไวรัสเวสต์ไนล์จะพบในยุงรำคาญ Culex spp. ในช่วงฤดูหนาว ในพื้นที่ที่มีโรคนี้เกิดขึ้นประจำถิ่น การติดเชื้อจะพบได้ในนกหลายชนิด โดยมักจะไม่ทำให้นกป่วยหรือเกิดการระบาดรุนแรง
6. วิธีการแพร่โรค : คนส่วนใหญ่ได้รับเชื้อจากการที่ถูกยุงรำคาญ Culex spp. กัด (Culex univittatus ในแอฟริกาใต้ หรือยุงสายพันธุ์ C. modestus ในฝรั่งเศส หรือยุงสายพันธุ์ C. pipiens molestus ในอิสราเอล) หรืออาจติดโดยยุงชนิดอื่นๆ เช่น ยุงลาย Aedes spp. นอกจากนี้ ยังมีการแยกเชื้อไวรัสได้จากยุงในกลุ่ม Mansonia และ เห็บอีกด้วย
7. ระยะฟักตัวของโรค : โดยเฉลี่ย 5-15 วัน
8. ระยะติดต่อของโรค : ยังไม่มีรายงานว่ามีการติดต่อของโรคนี้จากคนสู่คนโดยตรง แต่พบการติดเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์
เป็นกรณีพิเศษใน สหรัฐอเมริกาโดยการติดเชื้อผ่านทางรกจากมารดาสู่ทารก การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และการเปลี่ยน
ถ่ายเลือด ซึ่งการติดเชื้อลักษณะดังกล่าว พบได้น้อยมากในยุงที่มีเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตลอดชีวิต ในม้าสามารถติดเชื้อได้ แต่ไม่ค่อยพบไวรัสในกระแสเลือดในระดับไตเตอร์ที่สูงหรือในช่วงระยะเวลาที่นาน และ ม้าไม่ใช่แหล่งของการติดเชื้อ
ของยุง สำหรับนกสามารถพบไวรัสในกระแสเลือดได้นานหลายวัน ดังวงจรการแพร่โรค ในภาพที่ 1
ภาพที่ 1 วงจรการแพร่กระจายโรคไข้เวสต์ไนล์
9. ความไวและความต้านทานต่อการรับเชื้อ : เด็กทารกและผู้สูงอายุจะมีความไวต่อการรับเชื้อนี้สูง และมีอาการแสดงของโรค ส่วนคนทุกกลุ่มอายุทั้งหญิงและชายมีความไวต่อการรับเชื้อชนิดนี้ แต่การติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ ภูมิต้านทานมักเกิดขึ้น หลังจากการติดเชื้อ เด็กที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคนี้สูง รวมทั้งนักท่องเที่ยวและคนที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ที่มีการระบาดเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
10. การเก็บและนำส่งตัวอย่างตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข :
การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการทำได้โดย การตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อไวรัส การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส และ การแยกเชื้อ
11. การรักษา :
- การรักษาทั่วไป ให้รักษาตามอาการ หรือใช้การรักษา แบบประคับประคอง
- การรักษาเฉพาะ ยังไม่มีในปัจจุบัน ไม่มียารักษา โดยเฉพาะ
12. วิธีการป้องกันและควบคุมโรค :
ก. มาตรการป้องกันโรค : มาตรการป้องกันสำหรับประชาชน
- ประชาชนไม่ควรออกไปนอกบ้านในช่วงเวลาพลบคํ่า และกลางคืน เมื่อมีการระบาดของโรคเกิดขึ้น
- ถ้าจำเป็น ก่อนออกจากบ้านควรสวมเสื้อผ้าปกคลุม ร่างกายให้มิดชิด
- ใช้ยาทาผิวหนังป้องกันแมลงหรือยุงกัด (ไม่ควรใช้ในเด็กเล็กที่มีอายุตํ่ากว่า 3 ปี เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้)
- ใช้ยาฆ่ายุงตัวแก่ และทำลายลูกนํ้ายุงบริเวณในและนอกบ้าน
ข. การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม :
1. การรายงานโรค : หากพบผู้ป่วยเป็นโรค ให้รีบรายงานด่วนไปยังหน่วยงานสาธารณสุขส่วนกลาง
2. การแยกผู้ป่วย : ระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย แยกรักษาผู้ป่วยที่มีอาการให้อยู่ในห้องมุ้งลวดอย่างน้อย 5 วัน หรือจนกว่าไข้ลดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ
3. การทำลายเชื้อ : ไม่มี
4. การกักกัน : ไม่จำเป็น
5. การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส : ยังไม่มีวัคซีน
6. การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค : ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมที่ไม่ได้รับการรายงาน หรือไม่ได้รับการวินิจฉัย และค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดที่แสดงอาการ และยุงที่เป็นพาหะ
ค. มาตรการเมื่อเกิดการระบาด :
- ค้นหาผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในชุมชน
- ดำเนินการกำจัดยุงตัวแก่และกำจัดลูกนํ้ายุงในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของโรค
- ให้ข้อมูลเรื่องโรค การติดต่อ การป้องกันตนเองแก่ประชาชนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการตื่นตระหนกและขอความร่วมมือในการควบคุมโรค
- ประสานงานเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในท้องที่ เมื่อมีการตายของสัตว์มากผิดปกติ (โดยเฉพาะนก)ต้องรีบตรวจสอบรายงานและ ส่งชิ้นเนื้อตรวจหาเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ทันที
- สำรวจยุงเพื่อค้นหาการติดเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ในยุง
- ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์จากพื้นที่ระบาดไปยังที่อื่นๆ
- ขยายการเฝ้าระวังในนกและยุงออกไปยังพื้นที่โดยรอบ
ง. มาตรการควบคุมโรคระหว่างประเทศ : ห้ามนำเข้าสัตว์เลี้ยง เช่น นกจากพื้นที่ที่มีโรคไวรัสเวสต์ไนล์เป็นโรคประจำถิ่น ฉีดพ่น ยาฆ่าแมลงเมื่อเครื่องบินโดยสารที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีความชุกของโรค
*************************************
ที่มา สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น