อีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) หรือฮิวแมน เฮอร์ปี่ไวรัส ชนิดที่ 3 (Human herpes virus type 3) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด มีรายงานพบว่าโรคนี้เป็นกันได้ตลอดปี แต่มักระบาดช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน เป็นได้กับคนทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี โรคนี้อาการไม่ค่อยรุนแรง ผู้ที่เป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโรคตลอดชีวิต แต่บางคนอาจเป็นซ้ำได้อีก โดยอาการอาจไม่รุนแรงเท่ากับที่เป็นในครั้งแรก ในบางคนเชื้อบางส่วนอาจแฝงตัวอยู่ตามปมประสาทต่างๆ เมื่อแก่ตัวลง หรือมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ อาจเป็นโรคงูสวัดได้
โรคอีสุกอีใส ติดต่อกันได้ง่ายเหมือนหวัดโดยการสูดหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยเข้าไป การสัมผัสตุ่มน้ำโดยตรงหรือสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ ที่เปื้อนตุ่มน้ำของผู้ป่วยอีสุกอีใส หรืองูสวัด เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน เป็นต้น เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ประมาณ 10-20 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และมีผื่นแดงขึ้น โดยอาจเกิดพร้อมกับวันที่มีไข้ หรือเกิดหลังจากวันมีไข้ ผื่นแดงนี้แรกๆ จะมีลักษณะราบก่อน จากนั้นจะเป็นตุ่มนูนขึ้น มีน้ำใสข้างใน และคัน ตุ่มมักเริ่มขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลามไปที่ใบหน้า ลำตัว แขน ขา และทยอยขึ้นทั่วตัวภายใน 4 วัน ตุ่มจึงมีขนาดและลักษณะต่างกัน บางที่เป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มนูนใส ตุ่มหนอง หรือเริ่มตกสะเก็ด จึงเป็นที่มาของชื่อโรคอีสุกอีใส
ดังนั้น หากสงสัยว่าจะเป็นโรคอีสุกอีใส ควรไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง โดยทั่วไปโรคนี้อาการจะค่อยๆ ทุเลา ตุ่มจะตกสะเก็ด และหายได้เองในเวลา 1-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้มาก รักษาร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ หากมีไข้สูงใช้ยาพาราเซตามอลลดไข้ได้ ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจทำให้ตับอักเสบรุนแรงได้ ควรอาบน้ำ ฟอกสบู่ผิวหนังให้สะอาด ล้างมือให้บ่อยขึ้น และตัดเล็บให้สั้น หลีกเลี่ยงการแกะเกาตุ่มเพราะจะทำให้แผลติดเชื้อและเกิดแผลเป็นได้ ควรหยุดเรียน หรือหยุดงานประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายติดต่อผู้อื่น ในระยะนี้ควรระวัง เพราะอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือติดเชื้อในสมองได้ จึงควรรีบพบแพทย์หากมีอาการปวดหู ไอ หายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก ตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) หรือปวดศีรษะมาก
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว ซึ่งวัคซีนสามารถป้องกันโรคได้มากกว่า 90 % และให้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป โดยขอรับบริการได้ตามคลินิกกุมารแพทย์ทั่วไปค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น